เลื่อยโซ่น้ำมันหรือเลื่อยโซ่ไฟฟ้า? เหตุผลที่คุณควรตัดสินใจก่อนซื้อ

เลื่อยโซ่น้ำมันหรือเลื่อยโซ่ไฟฟ้า? เหตุผลที่คุณควรตัดสินใจก่อนซื้อ

หนึ่งในคำถามเกี่ยวกับเลื่อยโซ่ก็คือ จะเลือกอะไรดีระหว่าง เลื่อยโซ่น้ำมัน หรือ เลื่อยโซ่ไฟฟ้า เพราะทั้งสองแบบก็มีจุดเด่นและเหมาะสมกับงานที่แตกต่างกัน ลองมาพิจารณาปัจจัยที่ใช้ประกอบพิจารณาในการเลือกใช้เลื่อยโซ่ไฟฟ้าแบบน้ำมันหรือไฟฟ้ากันดู

1. พลังและประสิทธิภาพ

·      เลื่อยโซ่น้ำมัน :
เลื่อยโซ่น้ำมันมักมีพลังมากกว่า การทำงานด้วยเครื่องยนต์ทำให้สามารถทำงานต่อเนื่องได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องแบตเตอรี่หรือต้องหาปลั๊กไฟ ระยะเวลาในการใช้งานแต่ละครั้งอยู่ระหว่าง 30 นาที – 1 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำมันที่เติมและการทำงานของเลื่อยโซ่ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงหรือทำงานในระยะยาว

·      เลื่อยโซ่ไฟฟ้า :
เลื่อยโซ่ไฟฟ้าเหมาะกับงานเบาหรือกลาง เช่น การตัดกิ่งไม้หรือตัดต้นไม้ขนาดกลางถึงเล็ก หากคุณต้องการใช้งานเลื่อยในช่วงเวลาสั้นๆ เลื่อยไฟฟ้าก็เป็นตัวเลือกที่ดี เลื่อยโซ่ไฟฟ้ามีแบบมีสายไฟก็ทำให้ใช้งานได้ต่อเนื่อง สำหรับเลื่อยโซ่ไฟฟ้าแบบไร้สาย การชาร์จ 1 ครั้งจะทำงานได้ประมาณ 15 – 30 นาที ขึ้นอยู่กับขนาดแบตเตอรี่

2. พกพาและความสะดวกสบาย

·      เลื่อยโซ่น้ำมัน :
เลื่อยโซ่น้ำมันมีน้ำหนักประมาณ 4-7 กิโลกรัมหรืออาจหนักมากขึ้นไปอีก เนื่องจากขนาดเครื่องยนต์และถังน้ำมัน และยังต้องพกน้ำมันเพื่อใช้เติมด้วย นอกจากนี้จะต้องใช้เวลาในการสตาร์ทเครื่องยนต์และรับมือกับแรงสั่นสะเทือนระหว่างการตัด

·      เลื่อยโซ่ไฟฟ้า :
เลื่อยโซ่ไฟฟ้ามีน้ำหนักเพียง 2.5-5 กิโลกรัม โดยเฉพาะแบบที่ใช้แบตเตอรี่จะมีน้ำหนักเบาขึ้นไปอีกเนื่องจากไม่มีสายไฟ พกพาสะดวก เหมาะสำหรับงานเล็ก ๆ ที่ไม่ต้องการเครื่องมือที่หนักหน่วง ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการเติมน้ำมันหรือหาปลั๊กไฟ แต่แบบไร้สายก็ต้องคอยชาร์จแบตเตอรี่สม่ำเสมอ

3. เสียงและการสั่นสะเทือน

·      เลื่อยโซ่น้ำมัน :
เลื่อยโซ่น้ำมันลมีเสียงดังและสั่นสะเทือนมาก อาจเสียงดังได้ถึง 100 – 120 เดซิเบลซึ่งถือว่าดังมาก ทำให้รบกวนผู้คนในพื้นที่ที่อยู่อาศัย ผู้และใช้งานเองก็ควรมีอุปกรณ์ป้องกันเสียงและการสั่นสะเทือนด้วยเช่นกัน

·      เลื่อยโซ่ไฟฟ้า :
เลื่อยโซ่ไฟฟ้ามีเสียงเบาและสั่นสะเทือนน้อยกว่าที่ 85-100 เดซิเบล ซึ่งถือว่ายังเป็นเสียงที่ดังพอสมควรแต่ไม่ถึงกับทำให้หูเสียหายในการใช้งานระยะสั้น เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะถ้าคุณต้องการเลื่อยที่ไม่รบกวนเพื่อนบ้านและลดความเหนื่อยล้าของผู้ใช้งาน

4. การบำรุงรักษา

·      เลื่อยโซ่น้ำมัน :
เลื่อยโซ่น้ำมันต้องการการบำรุงรักษามากกว่า เช่น การผสมน้ำมัน (สำหรับเครื่องยนต์สองจังหวะ) การเปลี่ยนถ่ายน้ำมัน การทำความสะอาดตัวกรองอากาศ และการเปลี่ยนหัวเทียน ซึ่งอาจทำให้เสียเวลามากขึ้นหากผู้ใช้ไม่คุ้นเคยกับการดูแลเครื่องยนต์

·      เลื่อยโซ่ไฟฟ้า :
เลื่อยโซ่ไฟฟ้าสามารถบำรุงรักษาได้ง่ายกว่า ไม่จำเป็นต้องผสมน้ำมันหรือเปลี่ยนน้ำมัน เพียงแค่ดูแลโซ่ให้คมและทำความสะอาดเครื่องมือเป็นระยะ เหมาะกับผู้ที่ต้องการเครื่องมือที่ดูแลรักษาง่าย

5. ราคา

·      เลื่อยโซ่น้ำมัน :
เลื่อยโซ่น้ำมันมีราคาแพงกว่าแบบไฟฟ้า เนื่องจากมีเครื่องยนต์ที่ซับซ้อนและวัสดุที่ใช้ในการผลิต แต่ก็มีความทนทานและใช้งานได้ดีในงานที่หนักและต่อเนื่อง

·      เลื่อยโซ่ไฟฟ้าแบบไฟฟ้า :
เลื่อยโซ่ไฟฟ้ามักจะมีราคาต่ำกว่าแบบน้ำมัน โดยเฉพาะเมื่อคำนวณค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่าน้ำมันหรือการบำรุงรักษา เลื่อยไฟฟ้าจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้งานไม่บ่อยและต้องการลดค่าใช้จ่าย

6. ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

·      เลื่อยโซ่น้ำมัน :
เลื่อยโซ่น้ำมันปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการเผาไหม้ของน้ำมัน จึงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า ผู้ใช้งานจะได้กลิ่นน้ำมันชัดเจนโดยเฉพาะเมื่อทำงานในพื้นที่ปิด หากผู้ใช้งานผสมน้ำมันไม่ตรงตามที่ผู้ผลิตแนะนำหรือเมื่ออุปกรณ์เสื่อมขึ้นเรื่อย ๆ กลิ่นเหม็นก็จะแรงขึ้น

·      เลื่อยโซ่ไฟฟ้า :
เลื่อยโซ่ไฟฟ้าไม่มีการปล่อยมลพิษโดยตรง เป็นทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกว่าแบบน้ำมัน

7. การใช้งาน

·      เลื่อยโซ่น้ำมัน :
เหมาะสำหรับการใช้งานหนัก เช่น การตัดต้นไม้ขนาดใหญ่ การทำงานในพื้นที่ห่างไกลที่ไม่มีแหล่งไฟฟ้า หรือผู้ที่ต้องการใช้เครื่องมือที่ทนทานและมีพลังในการทำงานตลอดวัน

·      เลื่อยโซ่ไฟฟ้า :
เหมาะสำหรับการใช้งานเบา เช่น การตัดกิ่งไม้ การตัดต้นไม้ขนาดกลาง หรือการใช้งานในสวนขนาดเล็ก

ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกซื้อระหว่างเลื่อยโซ่น้ำมันหรือเลื่อยโซ่ไฟฟ้า ควรพิจารณาจากงานที่คุณต้องการทำ ระดับประสบการณ์ในการใช้งาน และเวลาที่คุณพร้อมจะทุ่มเทในการดูแลรักษาเครื่องมือ เพื่อให้ได้เครื่องมือที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณที่สุด